แนวทางลดปัญหาเด็กเสพยา
อาจารย์ฝ่ายปกครองเผย เด็กติดยา ไม่ได้มีสาเหตุมาจากครอบครัวขาดความอบอุ่น ชี้เด็กส่วนใหญ่ พ่อแม่เลี้ยงดูดีเกินไป อีกทั้งยังซื้อง่ายขายคล่อง บางรายซื้อขายกันข้างรั้วโรงเรียน ด้านผู้ใหญ่บ้านออกกฏเหล็ก หากพบใครเสพ อาจถูกโดดเดียว บางรายไม่เชื่อฟังอาจถึงขั้นขับออกนอกหมู่บ้าน
นายนพรัตน์ อ่อนคำ อาจารย์ 2 ระดับ 7 หัวหน้าฝ่ายปกครองในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชียงใหม่ กล่าวในเวทีสัมมนา “การจัดการเรียนการสอนหลักสูตรท้องถิ่นด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน” เกี่ยวกับผลดำเนินการวิจัยโครงการ แนวทางการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดของนักเรียน โดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและ ชุมชน ว่า จากการเก็บข้อมูลเบื้องต้นในการดำเนินการวิจัยพบว่า สาเหตุหลักที่ชักนำให้เด็กหันไปเสพยานั้นเนื่องจาก เด็กมีความอยากรู้ อยากลอง ประกอบกับถูกเพื่อนชักชวน และเด็กส่วนใหญ่ที่เป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง จะถูกพ่อแม่เลี้ยงดูเป็นอย่างดี
“เด็กกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ยากจนแร้นแค้น บางรายพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างดี ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ขับ งานการก็ไม่ต้องทำ หวังให้ลูกเรียนหนังสืออย่างเดียว เพราะจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนตัวเอง แต่ท้ายที่สุดเพราะความที่ว่างกันมาก ๆ จึงทำให้เด็กเกาะกลุ่มกันเที่ยวเล่น หนักเข้าก็เลยชวนกันไปติดยา ” หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว
หัวหน้าฝ่ายปกครองยังกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านั้นที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่เคยมีเด็กที่มีพฤติกรรมเสพยา แม้โรงเรียนจะตั้งอยู่ในพื้นที่รอยต่อหรือเป็นทางผ่านของเส้นทางลำเลียงสาเสพติดประเภทยาบ้าก็ตาม กระทั่งโรงเรียนมีนโยบายรับเด็กจากที่อื่นเข้ามาเรียน ปัญหาเรื่องยาเสพติดจึงตามมา
“เริ่มจากปี พ.ศ. 2540 มีเด็กพฤติกรรมเสพยาย้ายมาจากที่อื่น คณะครูก็มานั่งประชุมันว่าจะเอาอย่างไร ครั้นจะไม่รับไว้เข้าเรียนก็คงไม่ได้ จึงตัดสินใจรับเข้ามาเรียน แต่ก็ควบคุมดูย่างใกล้ชิดมาตลอด จนกระทั่งระหว่างปี 2542 – 2543 จำนวนเด็กเสพยาเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ พัฒนาการในการซื้อขายยาของเด็ก ๆ เร็วมากจนเราตามไม่ทัน” นักวิจัยสรุปทิ้งท้ายก่อนอธิบายเพิ่มว่า
ประกอบกับยาเสพติดต่างซื้อง่ายขายคล่อง เพราะผู้ค้ามาเปิดตลาดอยู่ข้างรั้วโรงเรียน ขณะที่ตัวเด็กเองแม้จะได้เงินมาโรงเรียนไม่มากนัก แต่ส่วนใหญ่ก็จะรวบรวมเงินกัน และนำไปซื้อยามาเสพ
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการระดมสมองในการแก้ปัญหาในท้ายที่สุด ครูในโรงเรียนจึงจับมือกับตำรวจท้องที่ และตำรวจตระเวนชายแดน รวมถึงกำนันและผู้ใหญ่บ้านในการแก้ปัญหายาเสพติดที่กำลังลุกลามเข้าไปในรั้วโรงเรียน
“ตอนแรกที่คิดจะแก้ปัญหานี้ เราคิดถึงเรื่องของการปราบปรามเพียงอย่างเดียว ผมเคยตะครุบจับเด็กหน้าเสาธง พาเข้าไปคุยให้ห้องฝ่ายปกครอง เรียกผู้ปกครองมารับรู้ปัญหา บางครั้งระหว่างนั่งทำงานอยู่ในห้องก็จะมีชาวบ้านมาตะโกนบอกข้างรั้วว่าเด็กไปจับกลุ่มเสพยากันตรงไหน ก็ออกไปจับ นำกลับเข้ามาในโรงเรียน หรือไม่ก็นำเด็กกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ไปเข้าค่าย นิมนต์พระมาเทศน์ แต่กิจกรรมทั้งหมดล้วนมาจากความคิดครูทั้งสิ้น ไม่เคยถามเด็ก ๆ เลยว่าต้องการอะไร”
อาจารย์นพรัตน์อธิบายต่อว่า การเอาเด็กไปเข้าค่ายนั้นไม่ได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่เมื่อกลับมาเรียนหนังสือ ก็ยังคงหันกลับมาเสพยาเหมือนเดิม และรูปแบบในการหลบซ่อน หรือแอบเสพ หรือพฤติกรรมของเด็กก็เปลี่ยน ไปจากเดิม
“จึงเปลี่ยนความคิด ทำอย่างไรจึงจะให้แก้ปัญหาได้จริง ๆ เพราะช่วงแรกที่เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้ทีมที่ทำงานร่วมกันก็เปลี่ยนมาแล้วหลายรอบ หลายคนถอย เพราะกำลังเป็นเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะเรื่องของการปราบปราม…จากนั้นจึงเปลี่ยนแนวคิด หันมาเน้นกิจกรรมด้านอื่น ๆ ให้มากขึ้น เข้าชุมชนให้มากขึ้น เน้นการสร้างความเข้าใจ ประสานงานร่วมกันระหว่างครู ผู้ปกครอง และโรงเรียนให้มากขึ้น “
ทั้งหมดเป็นกิจกรรมในโครงการวิจัย แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของนักเรียน โดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน
“เราเน้นกิจกรรมที่เป็นความต้องการของเด็ก ๆ มากขึ้น เริ่มจากสิ่งที่เขาชอบ เขาอยากทำ ขณะเดียวกันครูก็ต้องร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย อย่างเช่น ช่วงบอลโลกที่ผ่านมา ผมกับครูคนอื่น ๆ ต้องลงไปเตะบอลกับเด็ก ๆ พอเวลาผ่านไปช่วงหนึ่งก็เห็นความเปลี่ยนแปลง และคิดว่าวิธีการที่ทำอยู่นั้นได้ผล เราเดินมาถูกทางแล้ว เพราะสถิติของเด็กเสพยาลดจำนวนลงไปมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ” อาจารย์นพรัตน์กล่าว
สำหรับกิจกรรมด้านอื่น ๆ นั้น อาจารย์นพรัตน์เปิดเผยว่า ทีมวิจัยซึ่งประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้าน และครูคนอื่น ๆ จะลงชุมชนเพื่อไปเยี่ยมบ้านเด็กกลุ่มเสี่ยง พบปะพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้น และอธิบายถึงแนวทางในการแก้ปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดเวทีให้ผู้ปกครองของเด็กแต่ละคนมาเแลกเปลี่ยนแนวคิด และวิธีการดูแลเด็ก
ด้านนายบุญทา แสนคำอิน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งมีพื้นที่ติดกับโรงเรียนเปิดเผยว่า ได้ประชุมลูกบ้านเพื่อหารือในการแก้ปัญหาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้าที่กำลังระบาดหนักในหมู่บ้านและลุกลามเข้าไปในโรงเรียนว่า ตอนนี้ได้ร่างกฎร่วมกับชุมชนเพื่อจะประกาศใช้เป็นการภายใน ซึ่งกฎที่กำหนดขึ้นมานี้ น่าจะเป็นการลดการระบาดของยาเสพติดได้ในระดับหนึ่ง
“เป็นกฎที่คิดร่วมกันกับคนทั้งหมู่บ้าน เป็นต้นว่า หากพบใครเสพ ถ้าจับได้ครั้งแรกอาจมีการว่ากล่าวตักเตือน ครั้งต่อไปจะใช้วิธีการโดดเดียวห้ามคนในหมู่บ้านพูดคุยด้วย หากยังไม่เลิกและพบว่าเสพอีกจะตัดชื่อออกจากหมู่บ้าน”
+++++++++++