อนุรักษ์หอยขาวที่แหลมกลัด พลังร่วมของชาวบ้านและ อบต.
ตำบลแหลมกลัด อำเภอเมือง จังหวัดตราด เป็นพื้นที่ติดชายแดนไทย–กัมพูชา มีลักษณะเป็นแหลมยื่นออกมานอกทะเลฝั่งอ่าวไทยด้านทิศตะวันตกส่วนด้านทิศตะวันออกอยู่ติดกับเทือกเขาบรรทัดที่ทอดยาวไปจดสุดชายแดน
และด้วยสภาพพื้นที่ที่อยู่ติดกับทะเลและภูเขา จึงอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันหลากหลาย บนเทือกเขามีป่าไม้ที่แน่นหนา และสัตว์ป่าชุกชุม ขณะที่ในทะเลก็มีกุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์หายากหลากพันธุ์อันมีคุณค่าต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ตลอดแนวชายหาดที่ยาวกว่า 22 กิโลเมตร
แต่สมบัติจากทะเลที่ขึ้นชื่อ ณ บ้านแห่งนี้ก็คงหนีไม่พ้น “หอยขาว” สัตว์น้ำเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อาทิ หอยขาวทอดกรอบ หอยขาวอบสมุนไพร ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการยกย่องให้เป็นสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่สามารถสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับคนในตำบลแห่งนี้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
เมื่อมีความต้องการ “หอยขาว” เพื่อไปผลิตสินค้าป้อนตลาดในปริมาณมาก รูปแบบ และกรรมวิธีการเก็บหอยจึงถูกคิดขึ้นมาเพื่อสนองตอบ เริ่มมีการใช้เครื่องมือผิดประเภทในการเก็บ ทั้งอุปกรณ์คราดหอย รถแมคโครมาตักหอยที่หมกตัวอยู่กับผืนทรายซึ่งเป็นแหล่งอาหารของมัน และคนที่เข้ามาเก็บส่วนใหญ่เป็นนายทุนซึ่งจ้างคนจากภายนอกข้ามาเก็บ
“เวลาเก็บพวกเขาจะใช้เครื่องมือที่ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเอา หรือไม่เอาตัวไหน ซึ่งจะต่างจากชาวบ้านที่ใช้เพียงสองมือเปล่า และอุปกรณ์ง่าย ๆ อีกไม่กี่ชิ้น แต่กลุ่มของนายทุนจากด้านนอกจะเข้ามาเก็บโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “คราด” ซึ่งเวลาเก็บแต่ละครั้ง หอยตัวเล็กตัวน้อยมันก็ติดมาทั้งหมด บางที่ใช้เรือซึ่งเป็นอุปกรณ์เฉพาะสำหรับลากโดยตรงมาลากเอาหอยบนหาด ชาวบ้านก็เห็น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่มีใครสนใจ เพราะถือว่าไม่ใช่ปัญหาของตัว…”
ไพวัลย์ สิอิ้น ประธานองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมกลัดถ่ายทอดวิธีการเก็บหอยขาวที่ผิดวิธีจนกระทั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่หอยขาวลดปริมาณลงไปจากเดิม
แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเก็บหอยที่ผิดวิธีก็ดำเนินอยู่ได้ในเวลาที่ไม่นานนัก เมื่อคนกลุ่มหนึ่งในชุมชนแหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด ได้ลุกขึ้นมาหาแนวทางการอนุรักษ์ร่วมกัน…โดยทีมงานเริ่มต้นเดินสายพูดคุยกับชาวบ้าน กระตุ้นเตือน สร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านได้รู้สึกไปในทิศทางเดี่ยวกันว่า “หอยขาว” ที่ฝังตัวอยู่บนผืนทรายที่ทอดตัวเป็นแนวยาวกว่า 22 กิโลเมตรนั้นเป็นทรัพย์สมบัติของทุกคน
“พยายามเน้นให้ชาวบ้านรู้จักหวงแหนทรัพยากร …ก็คือการสร้างเจ้าของ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกเป็นเจ้าของหาดทรายแห่งนี้ พอหวงแล้วก็รู้จักวิธีการในการอนุรักษ์ … เช่นเรามีอะไร คุณค่าของมันเป็นอย่างไร และถ้าไม่ร่วมกันดูแลรักษา ผลกระทบมันจะเกิดขึ้นอย่างไร จากนั้นก็มานำเสนอเรื่องวิธีการใช้ ใช้อย่างไรจึงจะเกิดคุณค่ามากที่สุด และเมื่อครบขั้นตอน ก็จะมาถึงประเด็นสำคัญคือ มันมีบางอย่างเริ่มหายไปแล้วนะ พอพูดแบบนี้ชาวบ้านก็เอะใจ…เขารู้สึกว่ามันมีอะไรหายไปจริง ๆ และเราจะทำอย่างไรกับของที่เรามีอยู่”
วิธีการดังกล่าว อยู่ภายใต้กระบวนการวิจัย โครงการวิจัย “ศึกษาสถานการณ์เพื่อหาแนวทางอนุรักษ์หอยขาวโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนแหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด” โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานภาค และมีประธานองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมกลัด ไพวัลย์ สีอิ้น เป็นหัวหน้าโครงการวิจัยร่วมกับทีมจากองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมกลัด
“พอชาวบ้านรู้แนวคิดแบบนี้ก็จะมีการบอกต่อ ๆ กันไป….ผมพยายามเดินไปตามบ้านก็เพื่อจะตั้งคำถามว่า…เครื่องมือที่ใช้กันอยู่เราน่าจะห้ามกันหรือไม่ ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าวิธีเดิมมันไม่ได้แล้ว….พอมีแนวร่วมก็เริ่มมีความมั่นใจในกฏ เพราะการออกกฏ กติกา ก็เป็นบทบาทหนึ่งของ อบต…สามารถออกข้อบัญญัติของท้องถิ่นขึ้นมาเพื่อมาปกป้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้ ซึ่งเป็นกฏหมายเฉพาะพื้นที่ แต่ท้ายที่สุดต้องถามชาวบ้าน ซึ่งต้องให้ออกมาเป็นสัญญาประชาคม เป็นกติกาที่คนทั้งหมู่บ้านสามาระบุได้…”
สำหรับกติกาที่ประธานองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมกลัดกล่าวถึงคือ การห้ามใช้เครื่องมือบางประเภทเก็บหอย หรือแม้แต่การขอความร่วมมือจากคนในชุมชนให้เป็นหูเป็นตา กรณีพบเห็นคนภายนอกเข้ามาเก็บหอยผิดวิธี
“ปัจจุบันเรามีชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บหอยโดยตรง ซึ่งพวกเขาจะต้องลงทะเลทุกวันคอยเป็นหูเป็นตา คอยแนะนำให้ให้ข้อมูลแก่คนข้างนอก ทั่งเรื่องที่คนมั้งหมู่บ้านกำลังอนุรักษ์หอย การออกกฏห้ามเก็บหอยผิดไปจากรูปแบบที่ชาวบ้านร่วมกันกำหนด” ประธานอบต. กล่าว
ประธาน อบต.แหลมกลัดยังเล่าอีกว่า นอกเหนือจากการพูดคุยสร้างความเข้าใจ และพยามให้ชาวบ้านได้ตระหนักเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ จนกระทั้งเข้ามาเป็นแนวร่วมในการกระจายแนวคิดออกไปสู่คนนอกชุมชนแล้วนั้น กิจกรรมที่คนทั้งชุมชนคิดร่วมกันคือ “ประเพณีงมหอย” ซึ่งจะมีขึ้นทุกวันที่ 1 และ 2 เดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยมีองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมกลัดเป็นผู้รับผิดชอบจัดงาน
ภายในงานจะมีส่วนของนิทรรศการงานวิจัย ซึ่งทีมวิจัยได้นำผลงานจากการที่ได้เก็บข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่ ภาพถ่ายจากการลงพื้นที่ศึกษาวิจัย และความรู้ด้านทรัพยากรทางทะเลต่างๆ มาจัดแสดง ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับความร่วมมือจากกรมทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อม ทำให้มองเห็นแนวโน้มการยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐกับการจัดการทรัพยากรโดยชุมชนเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังแสดงให้เห็นว่าความพยายาม และพลังของประชาชนมีผลหากแสดงออกอย่างถูกต้อง มีหลักฐานและเหตุผลน่าเชื่อถือที่สามารถอธิบายได้จริง …
“เมื่อเราทำงาน เราต้องเอาข้อมูลไปแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดเวลา ประเพณีงมหอย ก็ถือว่าเป็นเวทีกลางที่หลาย ๆ หน่วยงานจะเอาข้อมูลมานำเสนอ และแลกเปลี่ยนกับชาวบ้าน ซึ่งกิจกรรมนี้ต้องการเน้นให้คนในชุมชนหันมาสนใจ ตระหนักและเล็งเห็นในคุณค่าของทรัพยากรชนิดนี้”
และสิ่งสำคัญที่สุดที่หัวหน้าโครงการวิจัยได้สะท้อนออกมานั่นก็คือ ความสัมพันธ์ของทีมวิจัยซึ่งส่วนเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล
“หากคนในพื้นบ้านไม่ต่อต้านเรา เห็นด้วยกับเรา ทุกย่างมันก็จะดำเนินไปได้ เพราะฉะนั้นเราก็จะพยายามสื่อให้คนพื้นบ้านรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ปัจจุบันก็เกือบทั้งตำบลที่รู้ว่าเราศึกษาข้อมูล เก็บข้อมูลเพื่อหาแนวทางในการนุรักษ์ แต่ก็มีคำถามว่าทำตรงนั้นหรือยัง เมื่อไหร่จะดำเนินการตามนั้น…แม้ว่าเราจะบอกเรื่องกฏ กติกาที่เป็นตัวหนังสือ แต่มันก็ยังต้องมีสัญญาประชาคม ว่าตรงนั้นเหมาะ ตรงนี้ไม่เหมาะ เป็นการดูแลกับแบบธรรมชาติ…..จริง ๆ ก็ต้องบอกว่าถ้าไม่มี สกว. ช่วยหนุน ช่วยคิดเรื่องกระบวนการและแนวทาง มันก็ไม่มีคนมาทำงานแบบนี้ตรง ๆ การเก็บข้อมูลเราก็คงทำแบบไม่ได้เก็บ ไม่ได้บันทึก ไม่ได้สืบค้นอะไรกันจริง ๆ จัง”
————