โครงการวิจัย-2547

ลดเหล้างานศพ จุดเริ่มต้นสู่การจัดระเบียบสังคม….

ประเด็นปัญหา
บ้านดง หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีวิถีการดำเนินชีวิตที่แสนจะเรียบง่าย   ยึดหลักการพึ่งพาอาศัยกันเป็นสำคัญ ปัจจัยกำลังถูกรุกคืบด้วยวัฒนธรรมการบริโภค และค่านิยมความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย  ซึ่งมีหลายอย่างสะท้อนออกมานอกจากการจัดงานในช่วงเทศกาลหรืองานบุญต่าง ๆ    ไม่เว้นแม้แต่งานศพ ที่มีการเลี้ยงเหล้า และอาหารจนมากมายเกินความจำเป็น

พฤติกรรมดังกล่าว สร้างภาระให้แก่เจ้าภาพในการจัดหาอาหารและเครื่องดื่มมาเลี้ยง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เจ้าภาพเป็นคนฐานะไม่ดี และนอกจากนั้นยังทำให้เกิดปัญหาความไม่มีระเบียบ บางครั้งถึงขั้นทะเลาะวิวาท ชกต่อย เนื่องจากฤิทธิ์เหล้า   ขาดการยับยั้งชั่งใจ  ซึ่งปัญหานี้นับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย   และที่สำคัญยังเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชนในหมู่บ้าน

เมื่อสภาพปัญหาเริ่มรุนแรงขึ้นทำให้คนกลุ่มหนึ่งทนไม่ไหว รวมตัวกันเพื่อจัดการกับปัญหา  และเพื่อให้มีความเป็นอกภาพในการแก้ไขปัญหา กลุ่มแกนนำจึงจัดเวทีชาวบ้านตามหมวดบ้านต่าง ๆ  ที่มีอยู่ทั้ง 5 หมวด  จนครบ โดยการเปิดเวทีหมุนเวียนไปแต่ละหมวดบ้านนี้จะเป็นการค้นหาประเด็นสำคัญในการแก้ไข   และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความเข้าใจ และชี้ให้เห็นความสิ้นเปลืองของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการจัดงานต่าง ๆ ของหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านทั้ง 5 หมวดต่างเห็นร่วมกันว่างานที่ใช้ค่าใช้จ่ายมากที่สุด และน่าจะลดค่าใช้จ่ายก่อนก็คือ “งานศพ” เพราะมีรายจ่ายตั้งแต่ค่าอาหาร ค่าเหล้า ค่าโลง ค่าปราสาท ซึ่งเป็นรายจ่ายที่เจ้าภาพจะต้องแบกรับทั้งหมด

“งานศพ” จึงเป็นงานบุญงานแรกที่คนบ้านดงเริ่มต้นช่วยกันจัดระเบียบเสียใหม่ ก่อนที่จะเริ่มต้น “จัดระเบียบ” ความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงด้านอื่น ๆ ต่อไป 

วัตถุประสงค์
เมื่อโครงการชัดขึ้นมาเป็นลำดับ โดยผ่านการเพาะบ่มของเวที ทั้งเวทีระดับชุมจนกระทั่งได้ประเด็นที่จะทดลองทำในช่วงแรก คือ การลดเหล้าในงานศพ  ซึ่งมีการกำหนดวัตถุประสงค์ของงานวิจัยเอาไว้ ดังนี้

  1. เพื่อหาแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายในการจัดงานพิธีต่าง ๆ ในชุมชน โดยที่ไม่ทำให้เกิดความสูญเสียหรือทำลายวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชุมชน
  2. ค้นหาองค์ความรู้ ด้วยการทดลองงานจัดศพแบบประหยัด เน้นเรื่องการลดค่าใช้จ่าย ในงานศพ เช่น ค่าปราสาท ค่าอาหาร ค่าโลงศพ ฯลฯ
  3. เพื่อจัดระเบียบสังคมในชุมชนใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชนเข้มแข็ง และมีการพัฒนาไปในทางที่ถูกที่ควรและยั่งยืนของคนในชุมชน

กระบวนการทำงาน

จัดประชุมชาวบ้าน นำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างงานศพ ในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อให้ชาวบ้านได้รวมกันคิด วิเคราะห์ในความต่าง ทั้งด้านพิธีกรรม รายจ่าย และกิจกิจกรรมด้านอื่น ๆ เช่น ปัจจุบันเมื่อมีการตายจะโทรศัพท์สั่งโลง และปราสาท ค่าโลงใบละ 3,000 บาท ค่าปราสาทอย่างถูกก็ราคาประมาณ 5,500 บาท ค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากนี้ได้แก่ ค่าดอกไม้สำเร็จเพื่อใช้แต่งหน้าศพ  ค่าดอกไม้จันทน์ ค่าอาหารเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน สิ่งที่ขาดไม่ได้เหล้า  และปัจจุบันนิยมเก็บศพไว้ประมาณ 4 คืน ซึ่งมากกว่าในอดีต ครั้นเมื่อถึงเวลาเคลื่อนศพไปเผา ก็ต้องจ้างรถที่ขายปราสาทใส่ศพไปเผาที่ป่าช้า  ขณะที่ทำพิธีอยู่ที่ป่าช้า ก็จะมีการนำน้ำอัดลมมาเลี้ยงแขก เป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ

ส่วนการจัดงานศพแบบเดิม ชาวบ้านเน้น “ความเอื้ออาทร”  ทุกกระบวนการจะมีแต่ความช่วยเหลือ  ผู้ชายช่วยกันทำโลง  ผู้ที่มีฝีมือมากหน่อยก็จะทำปราสาท อาหารการกินเป็นหน้าที่รับผิดชอบของบรรดาสาว ๆ  ส่วนการกินเหล้า แม้จะขาดไม่ได้แต่ก็ไม่ได้กินกันมาดังเช่นทุกวันนี้   และเมื่อถึงวันเผาก็จะช่วยกันลากปราสาทไปป่าช้าด้วยความพร้อมเพรียง  ฉะนั้นการจัดงานศพของชาวบ้านในยุคนั้นจึงมีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าการจัดงานแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายหลายหมวด ชาวบ้านจึงร่วมกันจัดทำแบบฟอร์มเพื่อบันทึกค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเหล้า หรือค่าจ้างอื่น ๆ  เพื่อเก็บข้อมูลเหล่านี้มานำในเวทีประชาคมของหมู่บ้าน เพื่อสร้างความตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยหนึ่งในแกนนำได้นำไปทดลองบันทึกค่าใช้จ่ายในงานบวชของญาติพี่น้อง งานแรก มีค่าหมู 3 ตัว ค่าเหล้า อาหาร และเครื่องบวช  รวมเสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 25,620 บาท งานที่สอง คิดรวมค่าใช้จ่ายในส่วนของอาหาร โดยไม่มีเหล้า รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 11,250 บาท 

เมื่อข้อมูลดังกล่าวนี้ถูกนำมาเปิดเผยในเวทีประชาคม ภาพของความต่างด้านตัวเลขทำให้ชาวบ้านเริ่มตระหนักเห็นความจำเป็นในการลดเหล้าในงานศพ  และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงไป 

นอกจากนั้น มีการนำรูปแบบการจัดการงานศพนี้ไปใช้ในงานงานประเพณีแต่งงานโดยลดลงจาก 3 วัน เหลือเพียง 1 วัน เกิดการฟื้นฟูสิ่งที่เคยทำร่วมกันมาในอดีต เช่น การทำดอกไม้จันทน์ โลงศพ ปราสาทบรรจุศพ ฯลฯ ที่กำลังจะสูญหายไปเนื่องจากอิทธิพลของการซื้อ  ให้กลับคืนมาอีกครั้งอันเป็นภาพแห่งความช่วยเหลือเอื้ออาทรในชุมชน  ชุมชนมีความรัก ความเสียสละเพื่อส่วนร่วมมากขึ้น เห็นได้จากการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำงานต่างๆ เช่น ร่วมกันทำสนามฟุตบอลของโรงเรียน  ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชนให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นผลมาจากการตระหนักรู้ถึงความฟุ่มเฟือยที่เกิดขึ้น  จึงทำให้ชุมชนมองภาพของกิจกรรมอื่น ๆ ในชุมชนเป็นเรื่องของประโยชน์และคำนึงถึงผลที่ชุมชนจะได้รับเป็นสำคัญ

เกิดการขยายผลสู่หมู่บ้านอื่น ๆ ซึ่งได้นำรูปแบบการจัดการงานศพแบบนี้ไปใช้เป็นแบบอย่าง  โรงเรียนนำแบบอย่างการจัดงานศพของชุมชนไปใช้ในการบูรณาการการเรียนการสอนให้เด็ก

ขณะเดียวกันมีการขยายแนวคิดสู่เจ้าคณะอำเภอ แม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่รับนิมนต์เจ้าภาพที่มีการเลี้ยงเหล้าหรือเล่นดนตรีในงานศพ มีการเทศน์เรื่องความประหยัดและการไม่ดื่มเหล้าในงานศพด้วย ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะขยายแนวคิดสู่ระดับตำบล อำเภอ ด้วยความร่วมมือเต็มที่ และอาจรวมไปถึงจัดการเรื่องการเล่นพนันในงานศพอีกด้วย

ณ วันนี้ชุมชนบ้านดง ตำบลนายาง ประกาศตัวเป็นหมู่บ้านปลอดเหล้าในงานศพ 100 % สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในชุมชนที่สามารถเป็นต้นแบบของวิธีการและรูปแบบการเรียนรู้  มีอีกหลาย ๆ โครงการที่ต่อยอดวิธีการคิดจากงานจัดระเบียบสังคม ลดเหล้าในงานศพของหมู่บ้าน เช่นงานด้านสาธารณสุข   งานด้านการป้องกันอุบัติภัยจราจร    การจัดค่ายพุทธธรรมสำหรับเยาวชนเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมในระดับตำบล เป็นต้น ซึ่งถือว่าชุมชนสามารถใช้กระบวนการคิดและวิเคราะห์ปรับกระบวนท่าเพื่อตอบสนองความเป็นตัวตนที่แท้จริงด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาว่า “ชาวบ้านสามารถจัดรูปแบบและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสมและลงตัว” และความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนคือ ความสมัครสมานสามัคคี และมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวของหมู่บ้านอย่างจริงจัง จากการลองผิดลองถูก เกิดปัญหาและร่วมกันแก้ไข และคิดสิ่งใหม่ ๆ มาทดแทน ทำให้เกิดความชำนาญทางความคิดและสามารถคิดเป็นระบบได้มากขึ้น 

++