ปากท้อง และการศึกษา เพิ่มช่องว่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่
ทีมวิจัยบ้านเมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ พบเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ช่องว่างระหว่างเด็กและผู้สูงอายุในชุมชนถ่างกว่างไปเรื่อย ๆ
โครงการวิจัย รูปแบบการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขของเยาชนและผู้สูงอายุบ้านเมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ที่มี ป.เช่ สุรศักดิ์ สิงหาร ปลัดเทศบาลตำบลเมืองแกเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยรวมกับทีมวิจัยบ้านเมืองแก ได้ทำการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของชุมชนเพื่อหาแนวทาง และรูปแบบการอยู่ร่วมกันของเยาวชนและผู้สูงอายุในหมู่บ้าน เนื่องจากบ้านเมืองแก ประสบปัญหาความเข้าใจกันระหว่างเยาวชนและผู้สูงอายุ เป็นเหตุทำให้เด็กวัยรุ่นออกไปก่อความเดือดร้อนรำคาญ ขณะที่ผู้สูงอายุ ก็ไม่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ทำให้ชุมชนขาดประสิทธิภาพในการพัฒนาในหลาย ๆด้าน
ซึ่งทีมวิจัยได้เครื่องมือ TiMeLine ศึกษาเรื่องราวของชุมชนจนกระทั้งพบว่า นับตั้งแต่ 2500 เป็นต้น จากชุมชนชนบทที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย กลายเป็นชุมชนที่ประสบปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจชุมชน ปัญหาสังคม และปัญหาวัยรุ่น
“ตัวไทม์ไลน์บอกเราเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วง ปี 2524 – 2529 เป็นยุคที่ ธกส.เข้ามา และคนออกไปทำงานนอกชุมชน ออกไปทั้งในประเทศ และไปต่างจังหวัด พอกลับมาก็พูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เรื่องของเงินเดือนที่ได้ และการใช้ชีวิตของเขาที่แตกต่างจากคนในหมู่บ้าน คนหมู่บ้านเราเห็นปุ๊ปก็อยากจะเป็นเหมือนเขา หลายครอบครับต้องเอาที่นาไปจำนองจำนำ ทำให้สูญเสียพื้นที่ทำกิน” ซึ่งการออกไปทำงานข้างนอกของพ่อและแม่ก็ส่งผลมาที่ตัวเด็ก ๆ คือถูกปล่อยไว้กับญาติ ๆ หรือ ผู้สูงอายุ
สำหรับเด็กที่ยังอยู่ในชุมชน เบิ้ม สงนวน ผู้ใหญ่บ้านเมืองแกบอกว่า หลายคนก็ถูกเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย และมีไม่น้อยที่ถูกห้ามออกมาเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เมื่อบวกรวมกับการลงไปศึกษา “ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว” และพบว่า จากยุคแรก ๆ ที่ชนบทมีเฉพาะครอบครัวใหญ่ พ่อ แม่ ปู่ ย่าตา ยาย หรือ พี่ ป้า น้า อา อยู่กันครบ เป็นระบบ และมีกลไกความสัมพันธ์ที่ช่วยสอดส่องดูแลพฤติกรรมเด็ก ๆ ในชุมชน ทำให้ชุมชนอยู่อย่างสงบสุข แต่ครอบครัวแบบใหม่ ที่ ป.เช่ สุรศักดิ์ สิงหาร ปลัดเทศบาลตำบลเมืองแก และทีมวิจัยศึกษาพบ คือ มีความสัมพันธ์ 7 ลักษณะที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนกันไป
“เราก็เห็นปลายทางคือ เห็นพฤติกรรมเด็ก แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าเด็กมาจากครอบครัวแบบไหน พอลงไปศึกษาจริง ๆ เราพบว่าบ้านเมืองแกที่มีกว่า 170 ครอบครัว กลับมีความสัมพันธ์ถายในถึง 7 แบบ”
“อย่างครอบครัวใหญ่ อันนี้ไม่ต้องพูดถึงคือ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มีความสุข ผู้สูงอายุและเด็ก ๆ มีความสุข แต่จะมีปัญหาตรงที่ผู้สูงอายุประคบประหงมเด็กมากเกินไป พูดง่าย ๆ คือรักมากเกินไปจนไม่อยากให้เด็กออกมาทำกิจกรรมทางสังคม”
อีกแบบคือ “ครอบครัวที่รับภาระดูแลบุตรหลาน” เนื่องจากพ่อแม่ต้องไปทำงานต่างจังหวัด ปลัดเทศบาลอธิบายว่า ครอบครัวแบบนี้ความเป็นอยู่ค่อนข้างอลุ่มอล่วยซึ่งกันและกัน
“แบบที่ 3 คือครอบครัวที่ทะเลาะกับบุตรหลานประจำ ผู้ใหญ่คอยจับผิดเด็ก ไม่ค่อยมีความสุข แบบที่ 4 คือครอบครัวที่ดูแลบุตรหลานตามลำบาก ข้อดีคือผู้ปกครองสอนให้อยู่อย่างมัธยัส สอนให้เห็นคุณค่าของเงิน และเด็ก ๆ จะตั้งใจเรียน แบบที่ 5 คือ ครอบครัวที่อยู่กับลูกหลานตามลำพัง ซึ่งจะมีโลกส่วนตัวสูง และไม่เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน และครอบครัวแบบที่ 6 คือ ครอบครัวที่ผู้สูงอายุดูแลกันเอง และต้องดูแลคนพิการ ส่วนมากมักไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และสุดท้ายคือครอบครัวที่ทะเลาะกันเองเป็นประจำ แน่นอนคือ ไม่มีความสุขทั้งเด็กและผู้ใหญ่”
ข้อค้นพบนี้บอกทีมวิจัย ว่า บุตรหลานที่อยู่กับผู้สูงอายุที่เอาใจใส่ อบรมสั่งสอน จะส่งผลต่อพฤติกรรมเชิงบวกของเด็ก ๆ ได้เช่นกัน
“บางทีอาจจะเกิดจากความรักและความห่วงมากเกินไประหว่างผู้ปกครองที่เป็นผู้สูงอายุ” สมพร เปรยขึ้นพร้อมกับอธิบายว่า
“อย่างช่วงเสาร์ – อาทิตย์เด็ก ๆ น่าจะช่วยงานของครอบครัวได้ ผู้ปกครองก็มองว่า แดดมันร้อน ไม่อยากจะให้ไปทำหรอก ไม่อยากให้ลูกลำบาก อย่างเด็กไปที่ทุ่งนาไปช่วยแบกหญ้าไปช่วยหาเห็ดอยากเข้าไปป่าเล่นกับพ่อแม่ บางครั้งก็ไม่ได้ไป เพราะเป็นห่วง เราสอบถามเด็ก ๆ หลายคนก็อยากไปนะ แต่บางทีโดนห้าม บางทีเราชวนมาเข้าค่าย หรือทำกิจกรรม ผู้ปกครองบางคนก็ไม่อยากให้เด็กออกมา เพราะห่วง”
และไม่เฉพาะ “การเลี้ยงดู” เท่านั้นที่ตัดขาดเด็กออกจากกิจกรรมทางสังคมและการเรียนรู้ที่จะต้องเป็นไปตามวัย ซึ่งข้อค้นพบของทีมวิจัยระบุว่า “การศึกษา” ก็ดึงเด็กออกจากไปเช่นกัน
“บางทีลูกกำลังเข้ามาร่วม พ่อแม่ก็มาตาม ตามเพื่อที่ไปทำการบ้าน ไม่ต้องมาทำอันนี้หรอกลูกไปทำการบ้าน ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่า เด็กเรียนหนังสือเยอะ รายงานเยอะ ต้องอ่านหนังสือ ต้องทำการบ้าน ผู้ปกครงอจึงไม่ค่อยให้อยากมาร่วม บางที เสาร์ อาทิตย์ แทบจะหายไปเลย โรงเรียนก็จะเน้นในเรื่องของวิชาการของเขา แต่วิชาชีพ วิชาชีวิตน้อยมากเลย”
อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยจะทำข้อค้นพบเหล่านี้ไปออกแบบกิจกรรมเพื่อให้ทั้งเยาวชนและผู้สูงอายุ มาทำกิจกรรมทางสังคมร่วมกันต่อไป