แหล่งเรียนรู้งานวิจัยเพื่อท้องถิ่น

บ้านผาสุข : แหล่งเรียนรู้ด้านการจัดการน้ำ

ที่บ้านผาสุข ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน มีลำห้วยน้อยใหญ่รายรอบหมู่บ้าน กว่า 20 ลำห้วย นอกจากนั้นยังมีลำน้ำว้าและลำน้ำมางไหลผ่าน  ทำให้บ้านผาสุข เป็นอีกชุมชนหนึ่งทีมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ มากที่สุดแห่งหนึ่งในตำบลภูฟ้า

การมีน้ำท่าบริบูรณ์  เป็นผลสืบเนื่องมาจากชาวบ้านร่วมกันดูแลรักษาป่าไว้เป็นอย่างดี ชาวบ้านจึงมีน้ำสำหรับไว้อุปโภคบริโภค ทั้งการทำเกษตรและดื่มกิน ในแง่ของการจัดการ มีการทำระบบประปาภูเขาเพื่อแจกจ่ายไปจ่ายไปยังบ้านเรือนแต่ละหลังในชุมชน  

ปัญหาของบ้านผาสุข

ถึงกระนั้นก็ตาม แม้จะมีการดูแลป่า และมีระบบการจัดการที่ดี บ้านผาสุกก็ยังประสบปัญหาเรื่องการใช้น้ำ ทั้งในหน้าแล้งและในหน้าฝน กล่าวคือขาดแคลนและไม่เพียงพอในหน้าแล้ง ส่วนหน้าฝน ชาวบ้านไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามขาดแคลนได้ เหตุผลเพราะแต่ละครัวเรือน ใช้น้ำไม่เท่ากัน บางครัวเรือนใช้มาก บางครัวเรือนใช้น้อย บางครัวเรือนปล่อยน้ำทิ้งอย่างไร้ค่า จากที่เคยมีใช้อย่างพอเพียง ก็เริ่มไม่เพียงพอ จนกระทั่งนำไปสู่ความขัดแย้งในที่สุด

จากปัญหาดังกล่าว นำไปสู่งานวิจัย โครงการวิจัย  “พัฒนาระบบการจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรของชุมชน บ้านผาสุข ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน” เป้าหมายคือ “ลดความขัดแย้ง” สร้างจิตสำนึก เปลี่ยนวิธีคิด และเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำของบ้านผาสุก ให้หันกลับมาใช้น้ำอย่างถูกวิธี รู้จักการฟื้นฟู รักษาป่าต้นน้ำ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะสร้างให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน”

กระบวนการทำงาน

  1. ทำความเข้าใจกับชุมชนเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ 
  2. สำรวจป่าต้นน้ำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งก็พบว่า เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้มีน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของชุมชน คือ ป่าเริ่มลดลง  และเมื่อเก็บข้อมูลจำนวนครัวเรือน และปริมาณการใช้น้ำ ของแต่ละครัวเรือน ก็ทำให้ทราบว่า มีครัวเรือนเพิ่มขึ้น หลายครัวเรือนมีกิจกรรมทางการเกษตรที่ต้องใช้น้ำจำนวนมาก อาทิการขุดบ่อเลี้ยงปลา

และเมื่อทราบข้อมูลครัวเรือนและความต้องการใช้น้ำ ทีมวิจัยยังชวนชาวบ้านออกสำรวจแหล่งน้ำเพิ่มเติม สำหรับการรองรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต ซึ่งก็พบว่ามีลำห้วยอีกหลายสายที่ยังไม่มีการนำน้ำลงมาใช้ ซึ่งจำเป็นต้องประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการของบประมาณสนับสนุน

จากข้อมูล สู่แนวทางแก้ปัญหา

          ข้อมูลจำนวนครัวเรือน และปริมาณการใช้น้ำ ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ป่า และแหล่งน้ำ เมื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน จะนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องการแย่งน้ำ

            มีการตั้งกฎกติกาชุมชน โดยเฉพาะการจัดสรรน้ำให้กับคนในชุมชนอย่างเป็นธรรม  กำหนดอัตราการใช้น้ำใหม่ เพื่อให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นสำหรับผู้ใช้มาก ใช้น้อย  อีกทั้งยังร่วมกันตรวจสอบคุณภาพน้ำ เพื่อความปลอดภัยทางด้านสุขอนามัย  ตรวจสอบระบบการติดตั้ง – บำรุงรักษา สัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยผ่านกลุ่มอาสาสมัครในชุมชนที่จะคอยผลัดเปลี่ยนตามวาระข้อตกในการเป็นอาสาสมัคร โดยทุกครัวเรือนจะจัดส่งคนในครอบครัวมาเป็นอาสาสมัคร

กระบวนการฟื้นฟูแหล่งน้ำ

ในแง่ของการฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำ และผืนป่า 

  • ใช้ความรู้ และความเชื่อเรื่องป่าศักดิ์สิทธิ์ จารีตประเพณี
  • มีการและการปลูกป่าเสริมตามความเชื่อ 
  • แบ่งโซนพื้นที่ป่า ได้แก่ ป่าต้นน้ำ ป่าอนุรักษ์ ป่าใช้สอยผ่านการจัดทำโฉนดชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนได้รู้อาณาเขตพื้นที่ทำกินและพื้นที่ป่า และมีมาตรการในการดูแลรักษา ซึ่งแนวทางดังกล่าว ได้นำไปสู่การอนุรักษ์ และฟื้นฟูฐานทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ร่วมกันระหว่างคนในชุมชน ชุมชนรอบข้างและหน่วยงานด้านป่าไม้ในพื้นที่ โดยเฉพาะการเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำของหมู่บ้าน ที่คนในชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากการใช้น้ำผ่านระบบประปาภูเขาของหมู่บ้าน
  • สำหรับการลดความขัดแย้งการบริหารจัดการน้ำภายนอกชุมชน มีการบูรณาการร่วมกันระหว่าง  บ้านผาสุก  โครงการพระราชดำริศูนย์ภูฟ้า  และหน่วยจัดการต้นน้ำ  โดยใช้ข้อมูลงานวิจัยที่ชาวบ้านเป็นผู้รวบรวม มาเป็นเครื่องมือการสร้างความเข้าใจ กระทั่งนำไปสู่เวทีการพูดคุยและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างสันติวิธี  มีการจัดโครงสร้างการจัดการน้ำ ในรูปแบบคณะกรรมการที่มีความเหมาะสม คล่องตัว สามารถประสานงานกับคนในชุมชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ จนนำไปสู่การจัดสรรน้ำที่เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ

ซึ่งประสิทธิภาพที่กล่าวถึงคือ การเดินท่อส่งน้ำไปยังทุกครัวเรือน ผ่านระบบประปาภูเขา ปัจจุบันมีโครงสร้างของคณะกรรมการน้ำ เพื่อลดปัญหาการขาดเจ้าภาพหรือแกนหลักในการดำเนินกิจกรรมหรือการแก้ไขปัญหาในเรื่องน้ำ

จะเห็นว่า ผลจากการดำเนินการศึกษาวิจัย โดยผ่านกระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่น ทำให้ชุมชนได้ตระหนักและเห็นคุณค่าของทุนเดิมและศักยภาพของชุมชน และเกิดความภาคภูมิใจ ที่ทุกคนในชุมชนได้ร่วมกันทำงานวิจัยเพื่อชุมชนของตนเอง โดยอาศัยองค์ความรู้ที่มีอยู่ในชุมชนและความรู้ใหม่ ๆ จากภายนอก

+++++++++++