people

“สุรศักดิ์ สิงหาร” : “งานวิจัยคือเครื่องมือที่คนทำงานพัฒนาต้องมี”

            ปลัดนักพัฒนาจากเทศบาลตำบลเมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์  สุรศักดิ์ สิงหาร หรือที่ชาวบ้านย่านนั้นเรียกกันติดปากว่า “ป.เช่” เข้าร่วมในกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเพราะต้องการความรู้ และทักษะใหม่ ๆ ในการทำงานกับชุมชน 

            ป.เช่ ผ่านการเข้ารับอบรมมาแล้วจากหลาย ๆ หน่วยงาน เพราะต้องการ “เครื่องมือ” ที่เหมาะสมสำหรับใช้พัฒนาพื้นที่ชุมชนที่รับผิดชอบ

            ล่าสุด ป.เช่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนักวิจัยเพื่อท้องถิ่นในโครงการ รูปแบบการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้สูงอายุบ้านเมืองแก อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์

          งานวิจัยจบแล้ว ผลจากการทำงานวิจัยคือการค้นพบรูปแบบการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นชุดความรู้ที่คนเมืองแกต้องเอาไปสานต่อเพื่อให้ผลการดำเนินงานชัดเจนมากขึ้น

          ———-

 คิดว่าตัวเองได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานวิจัยในครั้งนี้บ้าง 

          ถ้าประโยชน์ในส่วนตัวผม ก็คือการฝึกตัวเองในแง่ทักษะการทำงานร่วมกับชุมชน ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะว่าคนที่จะไปแปลงนโยบายเป็นวิธีปฏิบัติ ก็คือข้าราชการท้องถิ่นนี่แหละ  งานวิจัยจะฝึกในการลงไปทำงานเรื่องข้อมูลกับชุมชน ฝึกในเรื่องการไปสัมผัส อย่างน้อยให้รู้ทุกข์ของชาวบ้าน ซึ่งผมว่าอันนี้เป็นเรื่องสำคัญของข้าราชการท้องถิ่น ต้องรู้ทุกข์รู้ทุนของชาวบ้าน แล้วก็เข้าไปออกแบบยังไงในส่วนของกิจกรรม

          อันที่ 2 คือได้ปรับทัศนะคติเรื่องการทำงานพัฒนา  เพราะว่าถ้าไม่ได้ทำงานวิจัยผมก็เริ่มตัน ๆ เหมือนกัน โดยการทำงานเดิมคือการดึงเครือข่ายที่มีความถนัดในแต่ละเรื่องเข้ามาช่วยกันทำงาน ข้อดีคือเรามีคนที่ถนัดในเรื่องนั้น ๆ มาช่วยงาน แต่จุดอ่อนคือเราจะไม่ได้ฝึกตัวเอง เหมือนคนกลางที่ดึงเครือข่ายเขามาช่วยเฉย ๆ

ความต่างมันอยู่ตรงไหน

           การเป็นนักวิจัยเราต้องลงไปทำงานกับทีมกับชาวบ้าน  ไปสัมผัสกับงานกับชาวบ้านใหม่ มันเหมือนการฝึกตัวเอง ซึ่งในการทำงานพัฒนา กระบวนการหาข้อมูล กระบวนการหาคำตอบในเรื่องนี้มันยังไม่ค่อยชัด ที่ผ่านมามีเพียงกรอบการทำงานที่มาจากข้างบน  แล้วเวลาเราออกแบบมันเหมือนไกด์ไลน์ว่าต้องออกแบบเป็นให้ตรงกับกรอบที่ได้มา แต่สำหรับงานวิจัยมันไม่มีกรอบอะไรแบบนั้น สำหรับผม กรอบจากส่วนกลางคือกำแพงที่กันไม่ให้เราคิดนอกกรอบ  สำหรับงานวิจัย มันต้องเริ่มจากโจทย์ จากคำถาม  ตัวอย่างเช่นเรามีโจทย์หลัก ๆ ว่าเราทำยังไงให้ผู้สูงอายุ และเด็กมีความสัมพันธ์กันดีขึ้น แล้วจะหาวิธียังไง ผมว่าเป็นเรื่องท้าทายกับตัวเอง ซึ่งพอเราได้โจทย์ โจทย์ก็จะพาเราไปหาข้อมูล ความรู้ เพื่อนำมาในการสร้างความสัมพันธุ์ของผู้สูงอายุและเด็ก

          และตัวที่ 3 ผมคิดว่ามันได้ฝึกตัวเอง ฝึกในเรื่องทักษะ โดยเฉพาะกระบวนการเขียนงาน ที่พบว่าตัวเองยังมีจุดอ่อนก่อนที่จะเริ่มต้นทำงานวิจัย

งานวิจัยช่วยพัฒนากระบวนการเขียนอย่างไร

          อย่างที่บอกกระบวนการเขียนมันจะเริ่มตั้งแต่การตั้งคำถาม ซึ่งเราต้องเรียงลำดับเนื้อหา เพื่อไปนำเสนอกับชาวบ้าน ไปนำเสนอกับทีมผู้บริหาร แรก ๆ เราไม่มีแนวทางหรอกว่าจะเสนออย่างไร แต่งานวิจัยช่วยฝึกให้เรานำเสนออย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นวิธีการ เขียนเรียงลำดับให้ชัด ว่ามีกระบวนการทำงานอย่างไร เกิดผลเรื่องอะไรผมว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ

นอกจากจะช่วยในเรื่องการพัฒนาทักษะ ในเรื่องของวิธีการทำงานมีเรื่องอะไรบ้าง

         สำหรับการทำงานขององค์กรท้องถิ่น  สิ่งที่ได้ระหว่างการทำงาน โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาคือ การชวนชาวบ้านย้อนไปเรียนรู้ หรือ ไปดูอดีตของตนเอง  คือรู้จักต้นทุนของตนเอง  ผมว่าตรงนี้น่าจะเป็นเรื่องหลักที่ท้องถิ่นต้องรู้  เช่นประสบการณ์ในอดีต เขามีเรื่องอะไรบ้าง เขาเคยล้มเหลวเรื่องอะไรบ้าง เขาเคยมีทุนเก่าที่เขาได้ดีเรื่องอะไรบ้าง และประวัติศาสตร์ในเรื่องนั้น เรื่องอะไรบ้างที่เขาทำ แล้วก็ทุนในเรื่ององค์กรภายนอกเรื่องอะไรบ้าง ผมว่าพวกเราต้องรู้กันครบตรงนี้ก่อน ถึงจะชวนชาวบ้านพัฒนาได้ ไม่งั้นไปชวนชาวบ้านพัฒนาไม่ได้

จุดที่ยากที่สุดของการทำงานวิจัยอยู่ตรงไหน

          ตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นตอนเขียนรายงาน แต่พอผ่านมาแล้วก็เปลี่ยนความคิด จุดที่ยากที่สุดคงเป็นตอนพัฒนาโครงการ ยิ่งตอนไปนำเสนอแนวคิดให้กับผู้ทรงคุณวุฒิฟัง รู้เลยว่าเรายังคิดไม่รอบด้าน

อยากให้เล่าบรรยากาศตอนโดนคอมเมนท์

          โครงการของเราเป็นเรื่องแนวทางการลดช่องว่างระหว่างผู้สูงอายุและเยาวชน  พอนำเสนอจบ ผู้ทรงฯถามว่าช่องว่างคืออะไร แค่นี่เราก็ไปไม่เป็นแล้ว  เห็นชัดว่าเรายังติดอยู่กับงานพัฒนา ยังไม่ลงลึกในการออกแบบไปเก็บข้อมูลเรื่องนั้น เรื่องนี้ในเชิงลึก  ในเมื่อเราวยังไม่รู้ว่าช่องว่างคืออะไร เราะจะไปแก้ไขปัญหาได้อย่งไร

ถึงตอนนี้รู้หรือยังช่องว่างคืออะไร

           ตอนนี้รู้แล้ว ช่องว่างคือเรื่องพื้นที่ใช้ร่วมกัน เวลาที่จะอยู่ร่วมกัน กิจกรรมที่จะทำร่วมกัน เป้าหมายชีวิตที่จะทำร่วมกัน คือทำแล้วถึงรู้ แต่รู้ว่าช่องว่างของคนเป็นยังไง แสดงว่าตอนพัฒนาโจทย์เราอาจจะน้อยไปนิดนึงเรื่องการทำข้อมูลภาพรวมของเรา ก็ไปติดกับเอาข้อมูลที่มีอยู่กับงานพัฒนา พอเวลาถูกซักไซ้ไล่เรียงกันหนักเข้าตอบไม่ได้ ก็คิดว่าจะละเอียดอะไรหนักหนา ชาวบ้านก็ถามกันมา แต่ว่าข้อเสนอแนะของผู้ทรงก็ให้ข้อเสนอแนะดีครับ ในมุมผมนะ ถือว่าดี แต่ว่าชาวบ้าน บางส่วนที่เขาทำอะไรอาจจะชินว่าเขาทำแล้วมันสำเร็จมั้ง พอไปเจอของจริงอย่างนี้ก็ทำให้เขากลับไปทบทวนตัวเองเหมือนกันว่าเรายังเหลืออีกเยอะ นี่มองในมุมผมนะ

โครงการนี้ช่วยให้การทำงานในฐานะปลัดเทศบาลดีขึ้นอย่างไร

          ดีขึ้นก็คือผมรู้จักข้อมูลในการทำงานกับชุมชนเยอะขึ้น พอผมรู้เยอะขึ้น ทำให้ผมมีวิธีที่จะหาแนวทางชวนชาวบ้านทำได้หลายวิธีขึ้น ไม่ใช่เป็นวิธีซึ่งสั่งการมาจากข้างบน แล้วผมมีชุดความรู้ในการชวนพี่น้องทำงาน ซึ่งผมไม่ได้ใช้นโยบาย ไม่ได้ใช่ความรู้สึก ไม่ได้ใช้ข้อสั่งการ ผมใช้จากข้อมูลชาวบ้าน ดีขึ้นก็คือมีทีมที่ทำงานร่วมกับผม โดยเฉพาะทีมหมู่บ้านผมให้ความสำคัญมาก เพราะคำตอบสุดท้ายที่ผมทำ จะเก่งยังไงก็ชั่ง ตำรายังไงก็ยัง ถ้าทีมหมู่บ้านไม่พร้อมเทลงไปก็ไม่สำเร็จ

ถ้าไม่ทำงานวิจัยจะเสียดายมั้ย

         เสียดายมาก แล้วผมเห็นหลาย ๆ คน น้องหลาย ๆ ตำบลเก่งขึ้นจริงๆ ผมอาจจะไม่ได้เก่งขึ้นอะไรแต่ผมเริ่มวางโครงการอะไรแม่นขึ้น แล้วผมจะไม่ปล่อยให้เงินนี้ผ่านผมไปแบบง่ายๆ

          งานวิจัยมีส่วนทำให้เพิ่มปริมาณและคุณภาพของคนทำงาน  เพราะว่ากระบวนการวิจัยทำให้เขาไปสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนได้เยอะขึ้น คุณภาพก็คือความรู้ความสามารถในการที่จะไปดึงการมีส่วนร่วม และก็ช่วยพัฒนาประเด็นของพื้นที่ตัวเอง

+++++++